หนึ่งในกองหน้าของ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่ดังที่สุดในยุค 80′-90′ ฉายา “เพชรฆาตติหนวด”

เอียน รัช เจ้าของฉายา “เพชรฆาตติดหนวด” ที่โด่งดังมากที่สุดในยุค 80′-90′ เขาเกิดวันที่ 20 ตุลาคม 1961 ที่ เซนต์ เอซาฟ ในประเทศเวลส์

เป็นอดีตกองหน้าทีมชาติเวลส์ และ ลิเวอร์พูล ได้รับยกย่องให้เป็นกองหน้าชั้นนำของยุโรป ในยุค 80 และต้นยุค 90 ดาวเตะชาวเวลส์ผู้นี้ได้รับคำชมจากกูรูหลายแขนงว่า เป็นกองหน้าที่เก่งในการหาที่ว่างการยิงประตู ถือเป็นนักเตะที่มองเกมอย่างยอดเยี่ยมและยิงประตูได้เฉียบคมอย่างมาก

โดย เอียน รัช กับคู่หูของเขา เคนนี ดัลกลิช ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขว้างว่าเป็นคู่กองหน้าที่ดีที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษในสมัยนั้น

เอียน รัช เคยค้าแข้งกับสโมสรชั้นนำอย่าง ลิเวอร์พูล, ยูเวนตุส, ลีดส์ ยูไนเต็ด, นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ เร็กซ์แฮม ก่อนจะแขวนสตั๊ดกับสโมสร ซิดนีย์ โอลิมปิก ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2000

เอียน รัช เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วยการเข้าร่วมทีม เชสเตอร์ ซิตี้ ในระดับดิวิชั่น 3 (เดิม) หลังฉายแววเด่นตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้เขาได้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ในปลายฤดูกาล 1978-1979 โดยเขาประเดิมลงสนามนัดแรกในตำแหน่งกองกลาง เมื่อเดือนเมษายน ปี 1979 ในเกมพบ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ซึ่งจบลงที่ผลเสมอ 2-2

แต่หลังจากนั้นในฤดูกาล 1979-1980 เขาก็ได้เล่นตำแหน่งกองหน้า โดยยิงประตูแรกในอาชีพนักฟุตบอลได้ในเกมที่ เชสเตอร์ ซิตี้ เสมอกับ จิลลิ่งแฮม 2-2 เมื่อวันที่ 15 กันยายน 1979 และเดือนต่อมาเขาก็ยึดตำแหน่งตัวจริงได้เมื่อสโมสรตัดสินใจขาย เอียน เอ็ดเวิร์ดส์ กองหน้าของทีมออกไปให้ เร็กซ์แฮม

ชื่อของ เอียน รัช เริ่มถูกพูดถึงเมื่อเป็นผู้ยิงประตูให้ เชสเตอร์ ซิตี้ บุกเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ไปอย่างพลิกล็อก 2–0 ในเอฟเอคัพ รอบ 3 ในเดือนมกราคม ปี 1980 ก่อนจะมาแพ้ อิปสวิช ทาวน์ ในอีก 2 รอบต่อมา

แมตช์สุดท้ายของเขาและ เชสเตอร์ ซิตี้ คือเกมที่เปิดบ้านพบกับ เซาธ์เอนด์ ยูไนเต็ด ที่สนามซีแลนด์ โร้ด สนามเหย้าของทีมในเวลานั้น เมื่อวันที่ 26 เมษายน 1980 ซึ่งถึงแม้ เอียน รัช จะยิงประตูไม่ได้แต่ทีมก็ชนะ 2-1 และจบฤดูกาลด้วยอันดับ 9 ในดิวิชั่น 3

แม้จะได้รับความสนใจจากทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่กลับเป็น ลิเวอร์พูล ที่สามารถคว้าตัวเขาผู้นี้มาได้ เมื่อ บ็อบ เพลสลีย์ กุนซือของ ลิเวอร์พูล ซื้อตัวเขามาจาก เชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยราคาถึง 300,000 ปอนด์ (ประมาณ 16 ล้านบาท) และเป็นสถิติการขายผู้เล่นที่ได้ค่าตัวสูงสุดของ เชสเตอร์ ซิตี้

โดย เอียน รัช ตอนนั้นอายุเพียง 19 ปี และได้เล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี 1980 ก่อนที่เขาจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะผู้เล่นของ ลิเวอร์พูล โดยการลงสนามนัดแรกของเขาให้ ลิเวอร์พูล ต้องรอถึงวันที่ 13 ธันวาคม ปีเดียวกัน ในเกมดิวิชั่น 1 พบกับทีม อิปสวิช ทาวน์

ซึ่ง เอียน รัช ใช้เวลาบางช่วงในฤดูกาลแรกของเขากับ ลิเวอร์พูล ในทีมสำรองเพื่อศึกษาหาแนวทางของทีม และต้องฝึกฝนไม่ต่างจากดาวรุ่งคนอื่น ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ ฤดูกาล 1982-1983

เขาได้รับเลือกให้เป็นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่ง พีเอฟเอ หลังนำ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดและชนะเลิศถ้วยลีกคัพ โดยยิงในลีกไป 24 ประตู และมีแต้มห่างจากอันดับ 2 อย่าง วัตฟอร์ด ถึง 11 คะแนน

โดยในวันที่ 6 พฤศจิกายน 1982 เอียน รัช ยิงคนเดียว 4 ประตูใส่ เอฟเวอร์ตัน ในชัยชนะ 5-0 ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่ยิงประตูในเมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้แมตช์มากที่สุดใน 1 นัด

ฤดูกาล 1983-1984 เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ อีกครั้งหลังเคยได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมในปีก่อน ในฤดูกาลนั้นเขายิงระเบิดถึง 47 ประตูจากการลงสนาม 65 นัด ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกโดยมีคะแนนห่างจากเซาธ์แฮมป์ตัน 3 คะแนน และชนะคู่ปรับอย่างเอฟเวอร์ตัน 1-0 ในนัดรี-เพลย์ลีก คัพรอบชิงชนะเลิศ

รวมถึงคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 4 ให้สโมสร ฤดูกาล 1984-85 เป็นปีที่ไม่สู้ดีนักของ”หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่เสียแชมป์ลีกให้ เอฟเวอร์ตัน คู่แข่งร่วมเมือง ไปในฤดูกาลนี้

ฤดูกาล 1985-86 เอียน รัช กลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง พาทีมชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-0 ในเกม เอฟเอ คัพรอบรองชนะเลิศ ที่สนามไวท์ ฮาร์ท เลน และเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับคู่ปรับสำคัญอย่าง เอฟเวอร์ตัน และสุดท้ายเป็น เอียน รัช ที่เป็นคนยิงประตูชัยให้กับทีม คว้าดับเบิ้ลแชมป์หนแรกในประวัติศาสตร์สโมสรและได้รับรางวัลแมน อ๊อฟ เดอะ แมตช์หลังจบเกมส์

หลังจากนั้น ชื่อเสียงของ เอียน รัช กระฉ่อนไปไกล จนปี 1987-1988 เขาย้ายมาอยู่กับ ม้าลาย ทีมดังของอิตาลี ด้วยค่าตัว 3 ล้านปอนด์ แต่ทว่า หนทางในตูรินไม่ได้สวยงามเหมือนเมือง ลิเวอร์พูล เท่าไหร่

เอียน รัช ทำประตูให้กับ ยูเวนตุส ในฤดูกาลแรกไปเพียง 12 ประตูเท่านั้น จากการลงเล่นทั้งหมด 29 นัด รวมทุกรายการ หลังจากไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ เขาก็โดนขายคืนให้ ลิเวอร์พูล ค่าตัว 2 ล้าน 7 แสนปอนด์

หลังจากกลับมาอยู่ ลิเวอร์พูล รังเก่า ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยที่นี่เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เขาก็กลับมาระเบิดฟอร์มได้อย่างที่แฟนบอลหวังไว้ได้อีก นอกจากนี้ เอียน รัช ยังคว้าแชมป์ลีกกับ “หงส์แดง” ได้ 5 สมัย ยูโรเปี้ยน คัพ อีก 1 สมัย และได้รับราลวัลเครื่องราชย์ชั้นเอ็มบีอี

เอียน รัช ทำสถิติยิงประตูในศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ แมตช์ กับ เอฟเวอร์ตัน ได้ทั้งหมด 25 ประตู ได้รับรางวัลรองเท้าทองคำแห่งยุโรป ด้วยการยิง 32 ประตูในลีกในปี 1984 และได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จาก 2 สถาบัน

ปี 1996 เขาย้ายไปร่วมทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด แต่เขาเหมือนจะล่วงเลยจุดสุดยอดมาแล้ว โดยกับ ลีดส์ เขายิงได้เพียง 3 ประตูจากการลงเล่น 36 นัดในพรีเมียร์ลีก และถูกปล่อยตัวเมื่อจบฤดูกาลต่อจากนั้น

ปี 1996-1997 เขาย้ายไปร่วมทีม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในสัญญาระยะสั้น 1 ปี แต่เขาก็เป็นเพียงตัวสำรองของ อลัน เชียร์เรอร์ ศูนย์หน้าตัวเก่งที่หายจากการบาดเจ็บกลับมา ด้วยอายุ 38 ปี เอียน รัช เลิกเล่นฟุตบอลอย่างเป็นทางการ ที่ครั้งนั้นไปร่วมทีม ซิดนี่ย์ โอลิมปิก ของ ออสเตรเลีย เป็นทีมสุดท้าย รวมแล้ว เอียน รัช ลงเล่นในอาชีพมากกว่า 600 นัด ยิงประตูไปมากกว่า 250 ประตู โลดแล่นในอาชีพนักเตะทั้งสิ้น 22 ปี

เกียรติประวัติ
ลิเวอร์พูล
– แชมป์ดิวิชั่น หนึ่ง 5 สมัย : (1981-82, 1982-83, 1983-84, 1985-86, 1989-90)
– แชมป์เอฟเอ คัพ 3 สมัย : (1985-86, 1988-89, 1991-1992)
– แชมป์ ลีก คัพ 5 สมัย : (1980-81, 1981-82, 1982-83, 1983-84, 1994-95)
– แชมป์ เอฟเอ ชาริตี้ ชิลด์ 3 สมัย : (1982, 1986, 1990)
– แชมป์ ยูโรเปียน คัพ 2 สมัย : (1980-81, 1983-84)

เกียรติประวัติส่วนตัว
– นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ 1 สมัย : (1983)
– นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของผู้เล่นพีเอฟเอ 1 สมัย : (1984)
– นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากผู้สื่อข่าวกีฬาฟุตบอล 1 สมัย : (1984)
– ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีจากผู้สื่อข่าวกีฬาฟุตบอล 5 สมัย : (1983, 1984, 1985, 1987, 1991)
– ดาวซัลโวของยุโรป 1 สมัย : (1984)
– ดาวซัลโวของดิวิชั่นหนึ่ง 1 สมัย : (1984)
– ดาวซัลโวของทีมลิเวอร์พูล 9 สมัย : (1981-82, 1982-83, 1983-84, 1985-86, 1986-87, 1989-90, 1990-91, 1992-93, 1993-94)

 

credit : https://www.lfchistory.net/Players/Player/Profile/404

images credit : https://www.pinterest.com/

images credit : https://www.thesportsbank.net/

images credit : https://www.walesonline.co.uk/

images credit : https://www.thefootballhistoryboys.com/