กองกลางประวัติศาตร์ของ เชลซี หนึ่งในนักเตะยุครุ่งเรืองของทีมในเวลานั้น

ตำนานกัปตันทีม “สิงห์บลู” เชลซี ในยุครุ่งเรือง เขาคนนั้นก็คือ เดนนิส ไวท์ หรือชื่อเต็มว่า เดนนิส แฟร้งค์ ไวท์ เขาเกิดวันที่ 16 ธันวาคม 1966 เมือง เคนชิงตัง ประเทศอังกฤษ ซึ่งสโมสรอาชีพในการค้าแข้งครั้งแรกของเขาก็คือสโมสร วิมเบิลดัน เมื่อปี 1985 เขาใช้เวลา 3 ฤดูกาลในการพาทีม วิมเบิลดัน คว้าแชมป์ เอฟเอคัพ ได้สำเร็จด้วยการเอาชนะ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศในปี 1988

ต่อมาหลังจากโลดแล่นกับ วิมเบิลดัน มา 5 ปี เขาได้ย้ายมาทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เชลซี ซึ่งในขณะนั้น สิงห์บลู ยังไม่ถึงกับเป็นทีมระดับแถวหน้าของวงการลูกหนังอังกฤษซักเท่าไหร่นักถือเป็นทีมระดับกลางๆที่ยังคงต่อการกับลิเวอร์พูล,อาร์เซน่อลและแมนฯยูยังไม่ได้ในช่วงนั้น

เดนนิส ไวส์เซ็นสัญญากับสโมสร เชลซี ในวันที่ 3 กรกฏาคม ปี 1990 โดยราคาค่าตัว 1.6 ล้านปอนด์และเขาอยู่กับ เชลซี คือตั้งแต่ปี 1990-2001 หรือ 11 ปี เรียกได้ว่าเป็นกองกลางกัปตันทีมดีที่สุดของสโมสรในเวลานั้นเลยก็ว่าได้


นอกจากนั้น เดนนิส ไวท์ ลงเล่นกับ เชลซีไป 445 นัด ถล่มประตูไปมากกว่า 76 ประตู รวมทั้งแมตช์การแข่งขันการเล่นที่เป็นน่าประทับใจ ในศึก ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ที่ซานซิโร่ เมื่อ เชลซียกพลบุก พบกับเอซี มิลาน ในปี 1999 แถมยังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของ เชลซีในปี 1991-1992 ด้วยการยิง 14 ประตูจากตำแหน่งกองกลางของเขา

นอกจากนั้น ยังได้พาทีมคว้ารางวัลมากมายโดยการพาทีมได้รับถ้วย เอฟเอคัพ ในปี 1997 และปี 2000 ,ลีกคัพ ในปี 1998 และถ้วย ยูเอฟ่าวินเนอส์คัพในปี 1998โดยที่เขาได้รับการโหวตจากผู้เล่นในสโมสรให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสในปี 1998 และปี 2000

อิทธิพลของ ไวท์ ทำให้เกิดการดึงดูดการเข้ามาของสตาร์ต่างชาติในทีมที่ลอนดอนตะวันตกอย่างมากมาย และ เชลซีก็กลายมาเป็นทีมระดับต้นๆของพรีเมียร์ลีกที่สู้เพื่อชิงแชมป์ลีก และยังผ่านเข้าไปแข่งในแชมป์เปี้ยนส์ ลีกได้เป็นครั้งแรกด้วย

เวลาเปลี่ยนแปลงมาถึง ผู้จัดการทีมใหม่มาเป็น เคลาดิโอ รานิเอรี่ มีแผนการเปลี่ยนถ่ายสายเลือดใหม่การเปลี่ยนแปลงคือการลดอายุเฉลี่ยของนักเตะในทีม นั้นจึงทำให้ เดนนิส ไวท์ ถูกขายให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ในวันที่ 25 มิถุนายน ปี 2001 ในราคา 1.6 ล้านปอนด์ ทำให้กัปตัน มิดฟิลด์รายนี้ค้าแข้งกับสโมสร เชลซี ด้วยการลงเล่นมากที่สุดเป็นอันดับ 4 สร้างรประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยทำได้ 445 เกมและยิงได้ 76 ประตู

ในสโมสรกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ไวท์ ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จมากเท่าใดนัก นั่นก็อาจสืบเนื่องด้วยการที่เป็นคนหัวแข็งทะเยอทะยาน มีปากเสียงกับผู้จัดการทีมบ่อยครั้งจนได้ลงสนามเพียงน้อยนิดกับ 17 เกมของลีกเท่านั้นเอง และทำได้เพียง 1 ประตู

เมื่อวันที่ 20 กรกฏาคม 2002 ในแมตซ์ทัวร์นาเม้นต์ เขามีปากเสียงกับ คัลลัม เดวิดสันเพื่อนร่วมทีมในการโต้เถียงและทะเลาะวิวาทจนถึงขั้นจมูกของเพื่อนร่วมทีมหัก นั่นจึงทำให้ความบาดหมางก็สั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆในทีม อีกทั้งยังเจ้าตัวโดนตรวจสอบวินัยจากทางสโมสรและถูกปรับเงินในการวิวาทครั้งนี้มากถึง 7 หมื่นปอด์เลยทีเดียว และนั่นเองที่ทำให้ ไวท์ต้องย้ายออกจากเลสเตอร์ไป ฝากไว้เพียงการลงสนามไปทั้งหมดกับจิ้งจอก 17 เกมกับอีก 1 ประตู

ต่อมา ไวท์ ย้ายมาซบตักสโมสร มิลวอลล์ ทีมจาก แชมเปี้ยนชิพ ในปี 2002 โดยที่นี้เขาได้รับบทบาททั้งการเป็นผู้เล่นและผู้จัดการทีมในคราวเดียวกัน เขาอยู่กับ มิลวอลล์ 3 ฤดูกาล ลงเล่นไปทั้งหมด 85 เกมยิงได้ 7 ประตู



หลังจากนั้นเมื่อหมดสัญญากับ มิลวอลล์ ไวท์ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมถาวรแต่อย่างใด เขากลายเป็นนักเตะไร้สังกัดจนกระทั่ง “นักบุญแดนใต้”เซาแธมป์ตัน คว้าตัวเขามาร่วมทัพ ในวัยขณะนั้นอายุปาเข้าไป 35 ปีแล้วด้วย เพราะทางสโมสรหวังจะใช้ประโยชน์นักเตะจากประสบการณ์อันสูงส่งนั่นเอง

ไวท์ อยู่กับ เซาแธมป์ตันเพียงฤดูกาลเดียวก็ย้ายออกมาอยู่กับ โคเวนทรี ในสัญญาระยะสั้น 6 เดือน ซึ่งนี้เป็นสโมสรสุดท้ายที่เขามาค้าแข้งก่อนที่จะแขวนสตั๊ดไปในที่สุด แต่ก่อนที่ ไวท์ จะเลือกจบอาชีพค้าแข้ง เขายังได้รับการทาบทามจาก โคเวนทรี ให้อยู่กับทีมอีกหนึ่งปี ทว่าเจ้าตัวได้ปฏิเสธไป

หลังจากที่ ไวท์ เลือกยุติอาชีพค้าแข้งไปแล้วเขาก็เดินหน้าไปเป็นผู้จัดการทีมเต็มตัวเหมือนอย่างแข้งคนอื่นๆทั่วไป และสโมสรแรกที่เป็นผู้จัดการทีมเต็มตัวนั้นก็คือ สโมสร สวีดอน แต่ที่นี้เป็นเพียงผู้จัดการทีมชั่วคราวเท่านั้นเพราะเขามาแทนที่ผู้จัดการทีมคนก่อนที่ถูกปลดไปกลางคันนั่นเอง

ต่อมาในปี 2006 ไวท์ ได้รับการแต่งตั้งให้มาเป็นผู้จัดการทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด เขาได้รับสัญญาคุมที่นี่ 3 ฤดูกาล และเขาก็ทำผลงานของทีมถือว่าโอเครอยู่จนครบสัญญาเลยทีเดียว และเคยพาทีม ลีดส์ ขึ้นจนเป็นจ่าฝูงได้ระยะหนึ่งอีกด้วย

จากนั้นจึงมาเป็นผู้อำนวยการบริหารให้กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด แต่ก็ออกจากตำแหน่งในภายหลัง จากนั้นข่าวของ ไวท์ กับวงการฟุตบอลก็เงียบหายไป ทิ้งไว้เพียงความยิ่งใหญ่ในฐานะกัปตันทีมและเป็นผู้ที่ปลุกปั้น จอห์น เทอร์รี่ ให้มาสีบตำนานบทต่อไป

เกียรติประวัติ
วิมเบิลดัน
แชมป์เอฟเอ คัพ: 1987–88
เชลซี
เอฟเอ คัพ: 1996–97, 1999–2000
ฟุตบอลลีกคัพ: 1997–98
เอฟเอ แชริตี้ ชิลด์: 2000
ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ: 1997–98
ยูฟ่าซูเปอร์คัพ: 1998
มิลวอลล์
รองแชมป์เอฟเอ คัพ: 2003–04 (ในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการทีม)
เกียรติประวัติส่วนตัว
นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของเชลซี: 1997–98, 1999–2000
นักเตะยอดเยี่ยมของ อีเอฟแอล : 1998

credit :

images credit : https://www.dailymail.co.uk/

images credit : https://sports.yahoo.com/

images credit : https://blogs.20minutos.es/

images credit : http://news.bbc.co.uk/2/hi/sport/football/fa_cup/621030.stm

images credit : https://www.stokesentinel.co.uk/

images credit : https://www.coventrytelegraph.net/

images credit : https://www.yorkshireeveningpost.co.uk/

images credit : https://guernseypress.com/